สภาวะแวดล้อมในปัจจุบัน มลพิษ และสารตกค้างในอาหาร
ล้วนแต่เป็นสิงที่ส่งผลให้เกิดอาการแพ้ทางผิวหนัง ผื่นขึ้น
บ้างครั้งเราหลีกเลี่ยงได้ยาก พอนานไปเกิดการสะสมในร่างกาย ก็แสดงผลออกมา ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงสาเหตุและปัจจัยทำให้โรคกำเริบมากขึ้น ได้แก่
• สบู่ ควรใช้สบู่อ่อนๆ หรือถ้าเป็นไปได้ไม่ควรใช้สบู่อาบน้ำทุกครั้งที่อาบน้ำ เพราะการใช้บ่อยเกินไปยิ่งทำให้ผิวแห้ง กระตุ้นให้ผื่นคันมากขึ้น
• ผงซักฟอก เลือกชนิดระเคืองน้อย เช่น ผงซักฟอกสำหรับเสื้อผ้าเด็กทารก และควรซักล้างออกให้หมดด้วยการซักน้ำเปล่า
• เสื้อผ้า เลือกใช้เสื้อผ้านุ่ม โปร่งสบาย ผ้าแพร ผ้าฝ้าย โดยหลีกเลี่ยงผ้าขนสัตว์
• หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายที่ทำให้เหงื่อออกมากๆ
• หลีกเลี่ยงการสัมผัส สารก่อภูมิแพ้ ทั้งทางผิวหนัง สูดดมหรือรับประทาน
• ลดความเครียด ความวิตกกังวล
ลดอาการคันและหลีกเลี่ยงการเกา การรับประทานยาต้านฮีสตามีน จะเป็นอีกหนึ่ง วิธีรักษาผื่นคันได้ และได้ผลดีสำหรับบางคนเท่านั้น จึงควรพิจารณาใช้เมื่อจำเป็น เพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงจากยาและการใช้ยาโดยไม่จำเป็น นอกจากนี้ต้องลดการเกาผื่น เนื่องจากการเกาจะทำให้ผื่นผิวหนังที่อักเสบกำเริบหรือเห่อมากขึ้น
ป้องกันและรักษาผิวแห้งโดยการทามอยซ์เจอไรเซอร์ หรือโลชั่น โดยควรทาหลังอาบน้ำภายใน 3-5 นาที หลังจากนั้นถ้าผิวยังแห้งมาก ควรทาเพิ่มเติม สามารถทาได้วันละหลายๆ ครั้ง
ยาทาแก้คัน ช่วยลดอาการอักเสบของผิวหนังส่วนใหญ่จะมี สเตียรอยด์ควรใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์ เพราะโรคกลุ่มนี้ต้องใช้ยาเป็นเวลานาน ซึ่งอาจมีผลข้างเคียงถ้าใช้ยาไม่ถูกต้อง ปัจจุบันมียาทากลุ่มใหญ่ที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ ได้แก่ Tacrolimus , Pimecrokimus ซึ่งควบคุมอาการของโรคได้ดีพอควร แต่มีราคาแพงและต้องอยู่ในการควบคุมของแพทย์ หรือในปัจจุบันมีการคิดค้นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยลดอาการคัด โดยกลุ่มแพทย์ผิวหนังในต่างประเทศเป็นผู้คิด ซึ่งใช้ความเย็นของสารสกัดจากธรรมชาติมาบรรเทาอาการคัน และใช้ความเข้มข้นของ Moisturise เป็นตัวประสานให้ผิวกลับคืนความสมดุล และที่สำคัญไม่มีสเตียรอยด์
รักษาโรคแทรกซ้อน ถ้ามีตุ่มหนองบริเวณที่เป็นตุ่มหรือผื่นแดง แสดงว่ามีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน ควรปรึกษาแพทย์ เพราะผู้ป่วยอาจต้องได้รับยาปฏิชีวนะเพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรีย
การรักษาอื่นๆ เช่น การฉายแสงอัลตราไวโอเล็ต (UV) การรับประทานยากดภูมิคุ้มกัน ควรพิจารณาใช้ในรายที่เป็นรุนแรงมาก เป็นบริเวณกว้าง หรือไม่สามารถรักษาได้ด้วยวิธีต่างๆ ข้างต้น โดยการใช้ยาในกลุ่มนี้ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ